สถิติ และ แนวโน้มที่น่าสนใจเกี่ยวกับการจัดเก็บสินค้า

Last updated: 26 พ.ย. 2567  |  57 จำนวนผู้เข้าชม  | 

สถิติ และ แนวโน้มการจัดเก็บสินค้า

การจัดเก็บสินค้าเป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบโลจิสติกส์และห่วงโซ่อุปทานที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการดำเนินงานและต้นทุนของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจค้าปลีก อีคอมเมิร์ซ หรือการผลิต ต่อไปนี้คือสถิติและข้อมูลที่น่าสนใจที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บสินค้า 


ต้นทุนการจัดเก็บสินค้าในประเทศไทย


ต้นทุนโลจิสติกส์สูง: ในปี 2566 ต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการเก็บรักษาสินค้าคงคลังคิดเป็น 6.4% ของ GDP ประเทศไทย โดยมีมูลค่าประมาณ 1,204.5 พันล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2565 ที่อยู่ที่ 1,168.8 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 3.1% การเติบโตนี้สอดคล้องกับการขยายตัวของธุรกิจอีคอมเมิร์ซและการผลิตในประเทศไทย

ต้นทุนการเก็บรักษาสินค้าคงคลังในปี 2566:
มูลค่ารวม: 1,144.2 พันล้านบาท
สัดส่วนต่อ GDP: 6.4%
องค์ประกอบต้นทุน:ต้นทุนการถือครองสินค้า: 959.1 พันล้านบาท
ต้นทุนบริหารคลังสินค้า: 185.1 พันล้านบาท


แหล่งที่มา: รายงานโลจิสติกส์ประเทศไทย ประจำปี 2566


การเติบโตของเทคโนโลยีในคลังสินค้า


คลังสินค้าอัตโนมัติ (Automated Warehouses): การนำหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติมาใช้ในคลังสินค้ากำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซ ซึ่งช่วยให้สามารถจัดเก็บและหยิบสินค้าได้รวดเร็วขึ้น ลดข้อผิดพลาด และใช้พื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ
ในปี 2023 มีการเพิ่มการลงทุนในระบบอัตโนมัติ 45% เมื่อเทียบกับปี 2020 โดยระบบที่ได้รับความนิยมคือ AGV (Automated Guided Vehicles) และระบบ AS/RS (Automated Storage and Retrieval System)


การลดค่าใช้จ่ายผ่านการจัดการคลังสินค้าที่มีประสิทธิภาพ


การวางผังคลังสินค้าแบบ Cross Docking สามารถลดต้นทุนการจัดเก็บได้สูงถึง 25% เนื่องจากช่วยลดการจัดเก็บสินค้าในคลัง โดยสินค้าเคลื่อนย้ายไปยังจุดส่งต่อทันที การแบ่งโซนสินค้าตามความถี่ในการหยิบจับ (Fast, Slow, Non-moving หรือ FSN Analysis) ยังช่วยลดเวลาที่ใช้ในการค้นหาและหยิบสินค้า

การวิเคราะห์สินค้าคงคลังเพื่อประหยัดต้นทุน


Inventory Analytics: การวิเคราะห์ข้อมูลสินค้าคงคลังสามารถลดต้นทุนการจัดเก็บได้ถึง 30% สำหรับธุรกิจค้าปลีกที่มีการจัดการข้อมูลอย่างแม่นยำ
บริษัทที่ใช้ระบบ AI หรือ Machine Learning ในการพยากรณ์ความต้องการสินค้าสามารถลดความสูญเปล่าจากสินค้าคงคลังเกินได้สูงถึง 50%
แหล่งที่มา: Locad


การสูญเสียจากการจัดเก็บสินค้าที่ไม่มีประสิทธิภาพ


ในธุรกิจค้าปลีกที่ไม่มีระบบการจัดเก็บที่ดี พบว่าสูญเสียรายได้เฉลี่ย 8-10% จากปัญหาสินค้าหมดอายุหรือเสียหายระหว่างการจัดเก็บ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม
ธุรกิจที่ลงทุนในคลังสินค้าควบคุมอุณหภูมิสามารถลดการสูญเสียนี้ได้ถึง 70%
แหล่งที่มา: Statista

 

เทคโนโลยีการจัดเก็บสินค้าในปี 2024 

ในปี 2024 เทคโนโลยีการจัดเก็บสินค้าได้พัฒนาอย่างรวดเร็ว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในกระบวนการโลจิสติกส์ แนวโน้มสำคัญที่ควรจับตามีดังนี้:
1. ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบอัตโนมัติ AI ถูกนำมาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลและคาดการณ์ความต้องการสินค้า ช่วยในการจัดการสินค้าคงคลังและเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บ นอกจากนี้ หุ่นยนต์ยังถูกนำมาใช้ในการหยิบจับและเคลื่อนย้ายสินค้าในคลัง ลดความผิดพลาดและเพิ่มความรวดเร็วในการทำงาน
2. อินเทอร์เน็ตในทุกสิ่ง (IoT) และ 5G การผสานเทคโนโลยี IoT กับเครือข่าย 5G ช่วยให้การสื่อสารระหว่างอุปกรณ์ในคลังสินค้าเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ สามารถติดตามสถานะสินค้าแบบเรียลไทม์ และปรับปรุงกระบวนการจัดเก็บให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
3. การจัดการโลจิสติกส์แบบ Asset-Light ธุรกิจหันมาใช้โมเดล Asset-Light โดยการจ้างบริษัทภายนอกในการจัดการคลังสินค้าและการขนส่ง เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน เทคโนโลยีที่สนับสนุนโมเดลนี้ช่วยให้สามารถติดตามและควบคุมสินค้าผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4.เทคโนโลยีคลาวด์ การใช้ระบบคลาวด์ช่วยให้การจัดการข้อมูลในคลังสินค้าเป็นไปอย่างราบรื่น สามารถเชื่อมต่อกับระบบอื่น ๆ ได้ง่าย และปรับขนาดการใช้งานตามความต้องการ ช่วยลดต้นทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานและเพิ่มความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน

การนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ในการจัดเก็บสินค้า ช่วยให้ธุรกิจสามารถตอบสนองต่อความต้องการของตลาดได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และถึงแม้ว่าเทคโนโลยีจะพัฒนาไปมากแค่ไหน แต่การจัดเก็บสินค้าก็ยังขาด ชั้นวางของเหล็ก ชั้นวางสินค้าไม่ได้ หากคุณกำลังมองหา ชั้นวางเหล็กคุณภาพ ที่ผลิตด้วยมาตราฐาน Japan Quality อย่าลืมนึกถึงชั้นวางเหล็กของ MZG


แนวโน้มในอนาคตของการจัดเก็บสินค้า


ในปี 2025 คาดว่าคลังสินค้าส่วนใหญ่จะนำพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ เข้ามาใช้ และมีการออกแบบคลังสินค้าให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น คลังสินค้าแห่งอนาคต จะเน้นการจัดเก็บสินค้าแนวตั้ง (Vertical Storage) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพพื้นที่ใช้สอย โดยคาดว่าการใช้คลังสินค้าแนวตั้งจะเพิ่มขึ้น 35% ภายในปี 2030